ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดหนองคาย นำชุดสืบจังหวัดหนองคาย ชุดสืบ สภ.เมืองหนองคาย และ ชุดสืบภาค 4 ติดตามจับกุมผู้ต้องหาเข้าไปขโมยตู้เซฟ ที่มีทรัพย์สินมูลค่ากว่า 7 ล้านได้แล้ว พบเป็นคนในหมู่บ้านใกล้หมู่บ้านที่เข้าไปก่อเหตุ สารภาพเกิดจากความโลภอยากมีทรัพย์สินต่าง ๆ หลังเอาทรัพย์สินออกจากตู้เซฟได้ก็นำตู้เซฟไปทิ้งน้ำ ทรัพย์สินบางส่วนขุดฝังไว้ มีการนำทองคำแท่ง ๆ ละ 5 บาทไปขายในร้านทองใน อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย จำนวน 2 แท่ง และขายที่ร้านทองในกรุงเทพฯ อีก 1 แท่ง ได้เงินมานำไปเช่ารถพาลูกและภรรยาไปเที่ยว จนถูกเจ้าหน้าที่ตามจับตัวได้ อ.เชียงคาน จ.เลย
ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดหนองคาย นำชุดสืบจังหวัดหนองคาย ชุดสืบ สภ.เมืองหนองคาย และ ชุดสืบภาค 4 ติดตามจับกุมผู้ต้องหาเข้าไปขโมยตู้เซฟ ที่มีทรัพย์สินมูลค่ากว่า 7 ล้านได้แล้ว พบเป็นคนในหมู่บ้านใกล้หมู่บ้านที่เข้าไปก่อเหตุ สารภาพเกิดจากความโลภอยากมีทรัพย์สินต่าง ๆ หลังเอาทรัพย์สินออกจากตู้เซฟได้ก็นำตู้เซฟไปทิ้งน้ำ ทรัพย์สินบางส่วนขุดฝังไว้ มีการนำทองคำแท่ง ๆ ละ 5 บาทไปขายในร้านทองใน อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย จำนวน 2 แท่ง และขายที่ร้านทองในกรุงเทพฯ อีก 1 แท่ง ได้เงินมานำไปเช่ารถพาลูกและภรรยาไปเที่ยว จนถูกเจ้าหน้าที่ตามจับตัวได้ อ.เชียงคาน จ.เลย
ความคืบหน้าคดีที่มีคนร้ายฉวยโอกาสเจ้าของบ้านไม่อยู่ ย่องเข้าไปยกตู้เซฟที่มีทรัพย์สินทั้งสร้อยคอทองคำ ทองคำแท่ง เพชร และเงินสด รวมกว่า 7 ล้านบาทหลบหนีลอยนวล เหตุเกิดที่หมู่บ้านเคียงเมือง 2 บ้านเลขที่ 333/90 หมู่ 11 ต.หาดคำ อ.เมืองหนองคาย ช่วงเวลาประมาณ 23.00 น. ของวันที่ 18 ต.ค. 2567
ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ภ.จว.หนองคาย , เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.เมืองหนองคาย และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 4 ได้จับกุมผู้ต้องหาได้แล้ว คือนายพิธาร สายรัตนทองคำ อายุ 34 ปี ที่อยู่ หมู่ 11 บ้านจอมเสด็จ ต.หาดคำ อ.เมืองหนองคาย จ.หนองคาย โดยจับกุมได้ที่บริเวณร้านสะดวกซักผ้า Otteri 211/1 หมู่ 2 ต.เชียงคาน อ.เชียงคาน จ.เลย เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น.วันที่ 31 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ก่อนจะนำตัวกลับมาดำเนินคดีที่ สภ.เมืองหนองคาย ในข้อหา “ลักทรัพย์ในเคหะสถาน ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกัดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด การพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม”
ต่อมาเพื่อเวลาประมาณ 08.15 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ นำโดย พ.ต.อ.เกษม มุทาพร ผกก.กก.สส.ภ.จว.หนองคาย และ พ.ต.อ.ยุทธนา งามชัด ผกก.สภ.เมืองหนองคาย ได้นำหมายค้นเข้าค้นบ้านหลังหนึ่งที่หมู่ 11 บ้านจอมเสด็จ ต.หาดคำ อ.เมืองหนองคาย จ.หนองคาย ซึ่งเป็นบ้านที่นายพิธาร อาศัยอยู่ โดยเจ้าหน้าที่ได้ตรวจยึดเสื้อผ้า รองเท้า ที่ใช้สวมใส่ในวันที่เข้าไปก่อเหตุ รถจักรยานยนต์คันที่ใช้ก่อเหตุ รวมไปถึงทรัพย์สินต่าง ๆ อีกหลายรายการที่มีความเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินที่ขโมยมา โดย พล.ต.ต.พิรัชย์ อุดมพิสุทธิคุณ ผบก.ภ.จว.หนองคาย ได้เดินทางมาดูการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่อย่างใกล้ชิด
หลังจากการตรวจค้นบ้าน ก็ได้นำตัวผู้ต้องหาไปที่จุดนำตู้เซฟไปทิ้งน้ำและนำของกลางไปฝังไว้ ซึ่งห่างจากจุดที่ก่อเหตุประมาณ 1,400 เมตร อยู่ในเขตบ้านจอมเสด็จ ต.หาดคำ อ.เมืองหนองคาย จ.หนองคาย ซึ่งเป็นสวนของพ่อตาของนายพิธาร ซึ่งได้มีการงมตู้เซฟที่อยู่ในสระน้ำขึ้นมาได้ พบว่าตู้เซฟถูกเจาะทางด้านหลัง โดยนายพิธารบอกว่า ได้ใช้มีดตอกที่สลักและเจาะเอาทรัพย์สินที่อยู่ภายใน ส่วนหนึ่งฝังไว้โคนต้นไม้ ที่นำติดตัวไปถือทองแท่งน้ำหนัก 5 บาท 3 แท่ง นำไปขายในร้านทองในอำเภอโพนพิสัย จ.หนองคาย จำนวน 2 แท่ง และขายที่ร้านทองในกรุงเทพฯ อีก 1 แท่ง ได้เงินมา 6 แสนบาท และมีสร้อยทองน้ำหนัก 2 บาทอีก 1 เส้นที่นำไปเปลี่ยนเป็นเส้นใหม่ให้ภรรยา
หลังจากงมตู้เซฟได้กับนำกลับมาที่ สภ.เมืองหนองคาย โดย พล.ต.ต.พิรัชย์ อุดมพิสุทธิคุณ ผบก.ภ.จว.หนองคาย ได้ตรวจดูทรัพย์สินที่เจ้าหน้าที่ติดตามนำกลับคืนมาได้ โดยเฉพาะสร้อยคอทองคำมังกร และมีพลอยติดที่ตรามังกรหนัก 30 บาท ทองคำแท่ง ๆ ละ 1 บาทจำนวน 18 แท่ง ต่างหูเพชร แหวนเพชร และพระเหลี่ยมทอง เป็นต้น
พล.ต.ต.พิรัชย์ อุดมพิสุทธิคุณ ผบก.ภ.จว.หนองคาย เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่สามารถติดตามผู้ต้องหาขโมยตู้เซฟ ที่มีทรัพย์สินอยู่ภายในมูลค่าหลายล้านบาท เบื้องต้นคาดว่าเกิดจากความโลภที่อยากจะมีทรัพย์สินต่าง ๆ เป็นของตัวเอง ประกอบกับผู้ก่อเหตุไม่มีงานทำ จึงได้คิดสั้นเข้าขโมยทรัพย์สินในบ้านของผู้เสียหาย ตอนนี้เจ้าหน้าที่ติดตามทรัพย์สินคืนได้หลายรายการ ซึ่งได้จะนำคืนผู้เสียหายต่อไป ต่อจากนี้ก็จะมีการสอบปากคำผู้เสียหายว่าทรัพย์สินที่คืนมานี้ครบหรือไม่ เพื่อให้มีการพิสูจน์ทราบในกระบวนการต่อไป ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายที่ได้ทำงานร่วมกัน รวมทั้งสื่อมวลชนที่ให้ความร่วมมือในการทำงาน และทุกภาคส่วนที่ให้เบาะแสในการทำงานของเจ้าหน้าที่
ผบก.ภ.จว.หนองคาย บอกว่า จากการที่ซักถามข้อมูลเบื้องต้น ผู้ต้องหาได้รับว่าได้เข้าไปขโมยทรัพย์สินที่บ้านผู้เสียหายมาแล้วรวม 3 ครั้ง ส่วนทรัพย์สินอะไรที่หายไปบ้างต้องสอบผู้เสียหายอีกครั้ง เพราะผู้เสียหายยังเสียใจและยังสับสนอยู่ ทรัพย์สินที่หายไปก็ยังไม่ชัดเจน ซึ่งผู้เสียหายจะต้องนำหลักฐานการซื้อทรัพย์สินมาแสดงกับเจ้าหน้าที่ เพื่อเวลาดำเนินคดีจะได้ทราบมูลค่าของทรัพย์สิน รายละเอียดของทรัพย์สิน ที่ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินคดีกับผู้ต้องหา การเข้าไปขโมยทรัพย์สินนั้นเกิดจากความโลภ โดยผู้ต้องหาสังเกตว่าบ้านที่เข้าไปก่อเหตุมีรถหรูหลายคัน จึงได้เข้าไปก่อเหตุ ครั้งแรก ๆ ก็ขโมยเฉพาะกระเป๋า ครั้งที่ 2 ก็เพิ่มจำนวนทรัพย์สินที่ขโมยมากขึ้น จนกระทั่งครั้งที่ 3 ยกไปทั้งตู้เซฟ ซึ่งจากการดูภาพจากกล้องวงจรปิด ผู้ต้องหาไปมุ่งไปที่ตู้เซฟอย่างเดียว ไม่มีการแตะต้องทรัพย์สินอย่างอื่นเลย ซึ่งตอนแรกเจ้าหน้าที่จึงได้ตั้งข้อสังเกตในเรื่องนี้ว่าอาจจะเป็นคนภายในบ้าน หรือคนที่รู้จัก แต่ผิดคาดไม่ใช่ตามที่เจ้าหน้าที่คาดการณ์ไว้
ผบก.ภ.จว.หนองคาย ได้ฝากถึงประชาชนทั่วไปว่า ควรให้ความสำคัญในการดูแลทรัพย์สินของตนเอง เช่นมีการติดตั้งกล้องวงจรปิด มีเวรยามในการรักษาความปลอดภัยภายในหมู่บ้าน มีการตรวจตราภายในหมู่บ้านตามรอบ ทุกฝ่ายต้องช่วยกันในการป้องกันเหตุไม่ให้เกิดขึ้น ในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ เจ้าหน้าที่ไม่อยากให้เกิดการสูญเสียทรัพย์สินของประชาชน ขณะนี้ตำรวจภูธรจังหวัดหนองคาย ได้มีระบบดูแลความสงบเรียบร้อยและดูแลทรัพย์สินของประชาชนอยู่แล้ว จึงอยากให้ผู้ที่มีกล้องวงจรปิดมาเชื่อมกับระบบที่มีอยู่ เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้ช่วยดูแล เป็นความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็มีนโยบายที่จะให้มีระบบศูนย์รับแจ้งแห่งชาติ หนองคายก็มีระบบที่จะรองรับการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวอยู่บางส่วนแล้ว มีระบบกล้องที่ทันสมัยอยู่ในพื้นที่สมาร์ทเซฟตี้โซน ตอนนี้จึงอยากจะเชื่อมกับกล้องของประชาชนที่อยู่นอกเขต เพื่อจะได้ดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวจังหวัดหนองคาย
จากการสอบถามนายพิธาร ทำให้ทราบว่า สาเหตุที่เลือกเข้าไปขโมยทรัพย์สินในบ้านที่เกิดเหตุ เนื่องจากสังเกตว่ามีรถหรูหลายคันจอตอยู่ภายในบ้าน ครั้งแรกที่เข้าไปขโมยทรัพย์สินได้กระเป๋าแบรนต์เนม แล้วนำไปขาย ครั้งที่ 2 ก็เข้าไปขโมยอีกได้ทรัพย์สินหลายรายการ ก็นำไปขายอีก และได้เห็นตู้เซฟ จึงได้เข้าไปขโมยอีกครั้ง โดยตั้งใจเข้าไปขโมยตู้เซฟจึงไม่ได้ขโมยทรัพย์สินอย่างอื่น ส่วนนาฬิกาหรูที่มีมูลค่าถึง 7 แสนบาทตนก็ไม่รู้จัก วันที่เข้าไปขโมย หลังจากลากตู้เซฟออกจากห้องนอนแล้วก็ได้ยกใส่รถลากที่เตรียมมาได้ จากนั้นก็ลากเดินออกมาตามถนนในหมู่บ้าน ตามที่กล้องวงจรปิดบันทึกภาพไว้ได้ เมื่อมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้านก็ได้นำตู้เซฟและรถลากไปซ่อนแอบไว้ที่ต้นไม้ ก่อนจะเดินกลับไปเอาจักรยานยนต์ที่บ้านมาพ่วงรถลากตู้เซฟไปที่สวนของพ่อตาที่อยู่ห่างจากบ้านที่เข้าไปขโมยประมาณ 1,400 เมตร และได้หาวิธีการที่จะเจาะเอาทรัพย์สินที่อยู่ภายในตู้เซฟ ช่วงที่ลากตู้เซฟก็สังเกตเหตุมีช่องว่างที่สามารถใช้มีดตอกสลักและเจาะด้านหลังของตู้เซฟได้ จึงได้ลงมือเจาะ จนได้ทรัพย์สินที่อยู่ภายในก่อนจะแยกออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นเงินสด ทองคำแท่งละ 5 บาท จำนวน 3 แท่ง สร้อยคอ 2 บาท 1 เส้น และกระเป๋าแบรนด์เนม 2 กระเป๋า ได้นำติดตัว ส่วนทรัพย์สินที่เหลือได้ฝังไว้โคนต้นไม้
จากนั้นก็ได้นำทองคำแท่ง น้ำหนัก 5 บาทไปขายในร้านทองในอำเภอโพนพิสัย จ.หนองคาย จำนวน 2 แท่ง และขายที่ร้านทองในกรุงเทพฯ อีก 1 แท่ง ได้เงินมา 6 แสนบาท กระเป๋าแบรนด์เนมได้ขายที่กรุงเทพฯ 1 ใบ อีก 1 ใบฝากไว้เนื่องจากร้านขอตรวจสอบ กระเป๋าที่เหลืออีกหลายใบร้านไม่ซื้อก็ได้นำไปทิ้งน้ำ และได้นำสร้อยคอทองคำ 2 บาทไปเปลี่ยนเป็นลายใหม่ให้ภรรยา ที่ร้านทองในเขต อ.พรเจริญ จ.บึงกาฬ เงินที่ได้นำไปใช้จ่ายซื้อสิ่งของให้กับตนเอง ภรรยา และลูก ก่อนถูกจับได้เช่ารถพาภรรยาและลูกไปเที่ยวที่จังหวัดเชียงใหม่แล้วไปเที่ยวต่อที่ อ.เชียงคาน จ.เลย จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมตัวไว้ได้
สำหรับการจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ในครั้งนี้ เป็นการแกะรอยจากกล้องวงจรปิด จนเริ่มระบุกลุ่มผู้ต้องสงสัยได้ และพบว่ามีหนึ่งในผู้ต้องสงสัยลักษณะตรงกับที่เจ้าหน้าที่สงสัย และชัดเจนขึ้นเมื่อผู้ต้องสงสัยคนดังกล่าวนำทองไปขาย เจ้าหน้าที่จึงได้ออกติดตามและขอหมายจับ เข้าทำการจับกุมตัวดังกล่าว.