คนร้ายพยายามจะเข้าไปข่มขืนหญิง อายุ 67 ปี ชาว ต.นาหนัง อ.โพนพิสัย ที่อยู่ในบ้านคนเดียว พยายามต่อสู้จนหมดแรงก่อนตั้งสติ หลอกว่ายอมแล้วให้ไปหายาแก้โรคหัวใจมาให้หน่อย ก่อนอาศัยจังหวะคนร้ายเผลอคว้าโทรศัพท์ วิ่งเข้าห้องน้ำโทรให้ญาติ ๆ มาช่วยได้ทัน ก่อนญาติ ๆ จะตามจับตัวคนก่อเหตุส่งตำรวจ ตอนนี้หวั่นเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากคนร้ายกลับมาอยู่ในหมู่บ้านแล้ว
คนร้ายพยายามจะเข้าไปข่มขืนหญิง อายุ 67 ปี ชาว ต.นาหนัง อ.โพนพิสัย ที่อยู่ในบ้านคนเดียว พยายามต่อสู้จนหมดแรงก่อนตั้งสติ หลอกว่ายอมแล้วให้ไปหายาแก้โรคหัวใจมาให้หน่อย ก่อนอาศัยจังหวะคนร้ายเผลอคว้าโทรศัพท์ วิ่งเข้าห้องน้ำโทรให้ญาติ ๆ มาช่วยได้ทัน ก่อนญาติ ๆ จะตามจับตัวคนก่อเหตุส่งตำรวจ ตอนนี้หวั่นเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากคนร้ายกลับมาอยู่ในหมู่บ้านแล้ว
จากที่มีการแชร์ในโลกโซเซียล (เจ๊ม้อย v+) ว่า โจรขึ้นบ้านยาย พยายามจะข่มขืน ยายสู้สุดชีวิตจนหมดแรง ตำรวจจับได้สุดท้ายญาติผู้ก่อเหตุก็ประกันตัว ตอนนี้เกรงเกิดอันตรายกับตัวเอง
เหตุเกิดเวลา 00.30 น. ของวันที่ 18 ตุลาคม 2567 ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.นาหนัง อ.โพนพิสัย คนร้ายเข้ามาในห้องนอน ขึ้นนั่งคร่อมที่ตัวยาย ผู้ก่อเหตุนุ่งผ้าเช็ดตัว เอาน้องชายออกมา พยามจะข่มขืนยาย ยายเลยต่อสู้อยู่พักใหญ่ๆ และกัดแขน หลังจากนั้น ก็หลอกล่อว่ายอมแล้ว แต่หายใจไม่ออกให้ผู้ก่อเหตุออกไปหายาโรคหัวใจให้ยายหน่อย และระหว่างนั้นเลยถือโอกาส คว้ามือถือวิ่งเข้าห้องน้ำ รีบโทรหาลูกสาว-ลูกเขย หลังจากน้องสาวยายมา จึงตะโกนเรียก ผู้ก่อเหตุรีบกระโดดหนีไป และคนอื่นๆก็ตามมา และพากันขับรถหาผู้ก่อเหตุอยู่พักใหญ่ๆ หลังจากเดินไปข้างๆสระ ก็เจอผู้ก่อเหตุในสภาพ ผ้าเช็ดตัวผืนเดียว นอนซุ่มอยู่ในพุ่มไม้ จึงตะโกนเรียกคนให้มาช่วยจับ และส่งตัวมาที่ สภ.โพนพิสัย คืนนั้น ตำรวจก็ทำสำนวนฝากขังไว้ให้ก่อน ผ่านไปได้วันเดียว ญาติของคนร้ายก็มาประกันตัวไปแล้ว
ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยได้พบกับลูกสาว (ขอสงวนชื่อสกุล)ของหญิงที่จะถูกคนร้ายเข้าไปพยายามข่มขืน ซึ่งลูกสาวได้เล่าให้ฟังว่า วันที่เกิดเหตุเป็นคืนวันที่ 17 ตุลาคม 2567 ช่วงประมาณ 23.00 น.เศษ ที่เป็นวันออกพรรษา แม่ได้นอนที่บ้านกลางทุ่งนาคนเดียว ก็ได้มีคนร้ายพยายามเข้าไปจะข่มขืน แม่พยายามต่อสู้ขัดขืนจนหมดแรง จึงได้ตั้งสติหลอกล่อคนร้ายว่าเป็นโรคหัวใจ ซึ่งกว่าจะหลอกล่อได้ก็ใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมง คือประมาณ 30 – 40 นาทีขึ้นไป ให้ไปหายามาให้กิน คนร้ายก็ได้ไปหายามาให้แม่ แม่ก็ได้คว้าโทรศัพท์วิ่งเข้าห้องน้ำโทรหาแฟนของตนว่าให้ช่วยแม่หน่อย ตนตกใจมากก็ได้รีบโทรหาน้า (น้องสาวแม่) ให้ไปดูแม่ให้หน่อย ส่วนแฟนตนก็โทรหาผู้ใหญ่บ้าน น้าก็ได้รีบไปที่ทุ่งนา ก่อนตะโกนเรียกแม่ จนทำให้คนร้ายได้ยินเสียงก่อนจะกระโดดลงจากเถียงหาหลบหนีไป ผู้ใหญ่บ้านและญาติ ๆ ก็ได้ลงไปสมทบและได้ออกติดตามหาคนร้าย จนกระทั่งไปเจอหลบอยู่ข้างเถียงนา นอนหลบอยู่จึงได้ช่วยกันจับตัวส่งให้กับตำรวจ ก่อนตำรวจจะเรียกแม่ไปสอบปากคำช่วงบ่ายสองโมงวันที่ 18 ตุลาคม 2567 ซึ่งพนักงานสอบสวนได้บอกว่าจะส่งตัวผู้ต้องหาไปส่งฝากขัง เจ้าหน้าที่ก็บอกกับญาติ ๆ ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานอย่างเต็มที่ พร้อมคัดค้านการประกันตัว ตนและญาติ ๆ ก็ไม่รู้ว่าต้องไปที่ศาลด้วยหรือเปล่า เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ใหญ่บ้านบอกว่าจะจัดการให้ ตนและญาติ ๆ ก็มั่นใจว่าคนก่อเหตุต้องติดคุก รอให้แม่ขึ้นศาลอย่างเดียว
ลูกสาว (ขอสงวนชื่อสกุล) ของหญิงที่จะถูกคนร้ายเข้าไปพยายามข่มขืน เล่าต่อไปอีกว่า พอวันที่ 19 ตุลาคม 2567 เห็นว่าคนร้ายกลับมาอยู่ในหมู่บ้านแล้ว ก็งงกันว่าทำไมคนร้ายกลับมาอยู่ในหมู่บ้านได้ ก็ได้ยินข่าวมาว่าศาลปล่อยตัวมา ตนและญาติ ๆ ก็เลยเกิดความหวาดกลัว กลัวความปลอดภัยของแม่ เพราะแม่จะอยู่บ้านคนเดียว และมีปัญหาด้านการเคลื่อนไหวด้วย (ผ่าตัดกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทเดินลำบาก) บ้านของคนที่ก่อเหตุก็ห่างบ้านที่แม่อาศัยอยู่เพียง 4 หลังคาเรือนเท่านั้น ตอนนี้แม่ก็ยังผวาเวลามีคนเปิดประตู ทุ่งนาที่เกิดเหตุก็ไม่กล้าไปแล้ว การแก้ปัญหาตอนนี้คิดว่าจะให้แม่ย้ายไปอยู่กับพี่ชายที่ต่างจังหวัด คือจังหวัดศรีสะเกษ แต่แม่ก็ไม่อยากไปห่วงบ้าน ซึ่งแม่อยู่คนเดียวมาเป็นเวลา 10 กว่าปีแล้วตั้งแต่คุณพ่อเสีย ที่ผ่านมาก็ไม่เคยเกิดเรื่องอะไร ตนและญาติ ๆ ก็เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ตอนท้ายลูกสาว (ขอสงวนชื่อสกุล)ของหญิงที่จะถูกคนร้ายเข้าไปพยายามข่มขืน อยากให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยดูแลความปลอดภัยให้กับแม่และญาติ ๆ ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง รวมไปถึงคนในหมู่บ้านด้วย เพราะคนที่ก่อเหตุนั้นเป็นคนที่อุกอาจมาก ที่ผ่านมาก็เคยก่อเหตุและคุกคามคนในหมู่บ้านมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่เคยเป็นคดีความ คนในหมู่บ้านก็ไม่มีใครกล้าไปแจ้งความ มีบางคนที่ได้ไปแจ้งความ เจ้าหน้าที่ก็บอกให้มาไกล่เกลี่ยกัน ถือเป็นภัยในหมู่บ้าน เป็นคนที่คุกคามคนในหมู่บ้าน ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้เลย จึงอยากให้หน่วยงานที่รับผิดชอบมาดูแลในจุดนี้หน่อย เพราะถือว่าคนที่ก่อเหตุค่อนข้างจะเป็นภัยสังคม.